“อ้าย...น้องขอไล่เงินก่อนเด้อ เดี๋ยวเฮาจะปิดฮ้านตอน 10 โมง”เจ้าของร้านอาหารริมแม่น้ำโขงที่เมืองปากแบ่ง เดินมาบอกกับผม ขณะที่กำลังนั่งฟังเสียงลมพัดหวิวเพลินๆอยู่ริมระเบียงร้าน
แปลความหมายจากคำพูด คือน้องเจ้าของร้านเขามาขอคิดเงินค่าอาหารก่อน
เพราะร้านของเขากำลังจะปิดตอน 4 ทุ่ม
ผมมองนาฬิกา ตอนนั้นเพิ่งจะ 3 ทุ่ม กับ 40 นาที
ย่ำค่ำในเมืองปากแบ่งตอนต้นปี 2553 อากาศเย็นจนถึงถึงกับหนาว
ยิ่งมีลมพัดมาเรื่อยๆ ความหนาวเหน็บยิ่งเพิ่มมากขึ้น
แปลงผักริมแม่น้ำโขงของชาวบ้านปากแบ่ง |
ผมเพิ่งมาถึงปากแบ่งเมื่อตอน 5 โมงเย็น เช็คอินเข้าเฮือนพัก
อาบน้ำอาบท่า
เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกจากเฮือนพักเพื่อหาอาหารเย็นกินเมื่อตอนเกือบๆจะ 1 ทุ่ม
เพิ่งใช้เวลาชื่นชมกับบรรยากาศริมแม่น้ำโขงยามค่ำคืนของเมืองปากแบ่งไปไม่ถึง
3 ชั่วโมงดี
ความจริงจากหน้าด่านห้วยโก๋นมาถึงเมืองปากแบ่งใช้เวลาไม่นานนัก ขับรถประมาณชั่วโมงเศษๆเท่านั้น
ระยะทางจากหน้าด่าน ผ่านเมืองเงิน เมืองปากห้วยแคน
ถึงปากแบ่ง ยาวประมาณ 50 กว่ากิโลเมตร แม้เป็นเส้นทางข้ามผ่านภูเขา แต่ก็ถือว่าไม่สูงชันมาก
เพียงแต่ถนนที่กำลังก่อสร้างใกล้จะแล้วเสร็จ มีบางช่วงบางตอนที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง
การเดินทางจึงลำบากขึ้นเล็กน้อย
จะเสียเวลาอีกช่วงหนึ่ง ประมาณ 15-20 นาที ก็ตอนรอขับรถขึ้นเรือบั๊ก(แพขนานยนต์)
ที่เมืองปากห้วยแคน เพื่อข้ามแม่น้ำโขงมายังเมืองปากแบ่ง
เมืองปากแบ่งยาม 5 โมงเย็น |
แต่ที่ผมมาถึงที่นี่ช้า เพราะว่ากว่าล้อจะเริ่มหมุนออกจากตัวเมืองน่าน
ก็ปาเข้าไป 10 โมงครึ่ง
จากตัวเมืองน่านขับรถมาตามถนนสาย 1080 ระยะทางประมาณ 160 กิโลเมตร ถึงหน้าด่านห้วยโก๋น กว่าจะผ่านพิธีการ ข้ามพรมแดนมาได้ ก็บ่ายโมงครึ่ง
แถมยังไปขับรถเล่นชมเมืองเงิน แวะหาของกินมื้อกลางวัน เริ่มออกเดินทางจากเมืองเงินเพื่อมาที่ปากแบ่ง ก็เกือบบ่าย 3 เข้าไปแล้ว
จากตัวเมืองน่านขับรถมาตามถนนสาย 1080 ระยะทางประมาณ 160 กิโลเมตร ถึงหน้าด่านห้วยโก๋น กว่าจะผ่านพิธีการ ข้ามพรมแดนมาได้ ก็บ่ายโมงครึ่ง
แถมยังไปขับรถเล่นชมเมืองเงิน แวะหาของกินมื้อกลางวัน เริ่มออกเดินทางจากเมืองเงินเพื่อมาที่ปากแบ่ง ก็เกือบบ่าย 3 เข้าไปแล้ว
เมืองปากแบ่ง อยู่ในแขวงอุดมไชย
มีแม่น้ำโขงเป็นเส้นกั้นเขตแดนกับแขวงไชยะบุรี
ปากแบ่งเป็นเมืองริมแม่น้ำโขงที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก ช่วงต้นปี
2553 ที่ผมได้ขับรถมาที่นี่
ปากแบ่งเพิ่งจะเริ่มมีไฟฟ้าใช้ได้เพียง 2 เดือน แต่ก็ยังใช้ได้ไม่เต็มที่
การใช้ชีวิตของชุมชนโดยรวม จึงอยู่กันอย่างเงียบสงบ ตามวิถีดั้งเดิม
ตั้งแต่เช้ามืด
จนถึงบ่ายแก่ๆ ของแต่ละวัน ปากแบ่งเป็นเหมือนหมู่บ้านในชนบทของลาวทั่วไป
แต่เมื่อถึงเวลา
5 โมงเย็น จนหัวค่ำ ปากแบ่งจะ "ตื่น" ขึ้นมาทันที
ด้วยเพราะคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวหลากหลายเชื้อชาติ
โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากโลกตะวันตกที่มุ่งหน้าเดินทางไปยังหลวงพระบางและกำลังกลับจากหลวงพระบางเพื่อไปยังห้วยทราย
เรือขึ้นล่องตามลำน้ำโขงระหว่างหลวงพระบาง-ห้วยทราย |
เพราะปากแบ่งเป็นเมืองกึ่งกลางของการขึ้น-ล่องแม่น้ำโขง
ระหว่างเมืองห้วยทราย กับหลวงพระบาง
เรือที่ออกจากห้วยทรายตอนเช้า
จะล่องมาถึงปากแบ่งตอนประมาณ 5-6 โมงเย็น ในทางกลับกัน
เรือที่ขึ้นมาจากหลวงพระบางในตอนเช้า ก็จะมาถึงปากแบ่งประมาณ 5-6 โมงเย็นเช่นกัน
เพราะฉนั้น คนที่เดินทางระหว่างห้วยทรายกับหลวงพระบาง
ด้วยการโดยสารเรือผ่านลำน้ำโขง จำเป็นต้องแวะพักค้างคืนครึ่งทาง
ที่เมืองปากแบ่ง
ผู้โดยสารส่วนใหญ่คือนักท่องเที่ยว และเป็นชาวต่างชาติ
ดังนั้นบ้านเรือนของชาวปากแบ่งหลายหลัง จึงถูกดัดแปลงให้เป็นเรือนพัก
มีระดับราคาตั้งแต่ 300-500-800-1,000
กว่าบาท ไปจนถึงห้องพักระดับหรู 250 ดอลลาร์สหรัฐต่อคืน
รวมถึงร้านอาหารที่เรียงรายอยู่ริมแม่น้ำโขง
ก็ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อรองรับความต้องการของนักท่องเที่ยวเหล่านี้
นักท่องเที่ยวที่เพิ่งมาจากเรือเดินหาห้องพัก |
ร้านอาหารริมแม่น้ำโขง |
แต่ปากแบ่งจะมีชีวิตชีวา เพียงจากย่ำค่ำไปจนถึง 4 ทุ่มครึ่งเท่านั้น
วิถีชีวิตของคนที่นี่
ซึ่งยังคงยึดวัตรปฏิบัติแต่ดั้งเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง
แม้จะมีคนต่างถิ่นเข้ามาท่องเที่ยวและนำเงินมาใช้จ่ายที่นี่เป็นจำนวนมาก
กระแสไฟฟ้าที่เพิ่งเข้าไปถึงยังเมืองนี้เพียง 2 เดือน
ทำให้ไฟฟ้ายังมีให้ใช้ไม่เพียงพอ บ้านเรือน ร้านรวง และร้านอาหาร ต้องปิดไฟกันตามกำหนดตอน 4 ทุ่มครึ่ง แม้ว่าบางร้านจะมีเครื่องปั่นไฟเองก็ตาม
นี่คือเสน่ห์ของปากแบ่ง.....
หลังจากน้องเจ้าของร้านมาขอคิดเงินค่าอาหาร
ผมจ่ายเงิน และนั่งชมบรรยากาศที่ริมระเบียงร้านต่อไปอีกประมาณ 10 นาที จากนั้นก็เดินข้ามถนน
ขึ้นไปนั่งเพลิดเพลินต่อบนระเบียงหน้าห้องพักแทน
เหลียวมองนาฬิกา
เวลา 4 ทุ่มตรง เริ่มมีเสียงร้านรวงปิดประตู เสียงเพลงจากร้านอาหารที่เคยดังอยู่เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน ค่อยๆเงียบลง
เงียบลง ทีละน้อย
และทันที เมื่อนาฬิกาบอกเวลา 4 ทุ่มครึ่ง สภาพเมืองปากแบ่งดูไม่แตกต่างจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เพิ่งได้รับคำสั่ง
shut down
แสงไฟทั้งเมืองดับวูบลง
ความมืดเข้าแทนที่ จากเสียงที่เคยระงม กลับเงียบกริบ ไม่มีสรรพเสียงใดๆ นอกจากเสียงที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ
เมืองแห่งนี้กลับสู่ความเป็นเมืองชนบทของลาวอีกครั้ง
เงียบสงบท่ามกลางขุนเขา ได้ยินแต่เสียงสายน้ำ และหรีดหริ่งเรไร เท่านั้น
อาจมีเสียงแปลกปลอมแทรกเข้ามาบ้าง
คือเสียงของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่อาจยังติดลม หรือไม่ก็หาทางกลับที่พักไม่เจอเพราะความมืด
เดินบ่นกับตัวเอง หรือบ่นกับกลุ่มเพื่อน แต่ก็แว่วให้ได้ยินมาเป็นชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
กระแสไฟฟ้าในเมืองปากแบ่งเริ่มกลับคืนมาตอนใกล้ตี
5 เมื่อเริ่มเข้าสู่วันใหม่
วิถีท้องถิ่นของปากแบ่งเริ่มปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
เริ่มมีเสียงผู้คนพูดคุยกัน
ชาวบ้านออกมายืนรอพระสงฆ์ที่กำลังเดินลงมาบินฑบาตร และที่ตลาดเช้า พ่อค้าแม่ขายเริ่มจัดเรียงสินค้า
และตั้งแผงค้ากันให้ทันเริ่มขายในเวลา 7 โมง
พระสงฆ์ออกบิณฑบาตรยามเช้า |
เหล่านักเรียนเตรียมเดินทางไปโรงเรียน |
พร้อมกับขบวนของนักเรียนที่มีทั้งเดินเป็นกลุ่มขี่จักรยานเดี่ยวๆ
หรือเป็นคู่ๆ เพื่อไปให้ทันเข้าเรียนยังโรงเรียนที่ตั้งอยู่ห่างจากชุมชนออกไปเกือบ
5 กิโลเมตร
นักท่องเที่ยวเดินออกมาจากที่พัก
เพื่อหาอาหารเช้ารับประทาน ก่อนเดินทางต่อ
เป็นวัฏจักรชีวิตที่น่ารักของ"ปากแบ่ง".....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น