วันอังคารที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ลาวยวน : ชาวเชียงแสนผู้สร้างเมืองหลวงน้ำทาและเมืองเงิน


ความเป็นมาของชาว“ลาวยวน” เป็นเรื่องราวที่สะท้อนให้เห็นภาพของผู้คน การเคลื่อนย้าย และการผสมผสานกันของชาติพันธุ์ต่างๆในดินแดนสุวรรณภูมิได้อย่างเป็นรูปธรรม เรื่องหนึ่ง

ชื่อ“ลาวยวน” สำหรับในประเทศไทยแล้ว เป็นชื่อที่ถูกกล่าวถึงน้อยมาก

เท่าที่ค้นพบหลักฐาน มีจารึกในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามฯแผ่นหนึ่ง ซึ่งคาดว่าจารึกขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 ที่กล่าวถึงชนชาติลาวยวนไว้ว่า“เป็นชาวหริภุญไชย นิยมสักบริเวณขาและพุงเหมือนคนพม่า ใส่ต่างหูทำจากทองเนื้อแปด โพกผ้าที่ศีรษะ สวมกำไลข้อมือทั้งสองข้าง และมีประเพณีการแอ่วสาว เป็นต้น”

จารึกระบุว่า ผู้แต่งจารึกนี้ คือพระยาบำเรอบริรักษ์

แต่สำหรับใน สปป.ลาว ชาว”ลาวยวน”เป็น 1 ใน 49 ชนเผ่า(ethnic) ซึ่งได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ ตามมติสภาแห่งชาติ ที่ 213/สพช ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2008(พ.ศ.2551)

มตินี้ ว่าด้วยเรื่องการรับรองชื่อเรียกและจำนวนชนเผ่า รายละเอียดมี 2 มาตรา

มาตราแรกกำหนดว่าสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวมีเพียงชาติเดียว เรียกว่าชาติลาว และมาตราที่ 2 การกำหนดชื่อเรียก จำนวนชนเผ่า เบื้องต้นในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มี 49 ชนเผ่า ซึ่งจัดตาม 4 หมวดภาษา

ชนเผ่า”ยวน”ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 5 ของกลุ่มแรก หมวดภาษาลาว-ไต

มติสภาแห่งชาติ ที่ 213 กำหนดชื่อเรียก และจำนวนชนเผ่าใน สปป.ลาว
“ลาวยวน” คือกลุ่มคนที่ย้ายจากเมืองเชียงแสนไปอยู่ในดินแดนล้านช้าง ตั้งแต่เมื่อ 400 กว่าก่อน

คำว่า”ยวน” เป็นคำที่โยงให้เห็นถึงถิ่นกำเนิดดั้งเดิม ตั้งแต่สมัยตำนานสิงหนวัติ คืออาณาจักรโยนกนาคพันธุ์(พุทธศตวรรษที่ 12) ซึ่งมีจุดศูนย์กลางอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงตอนกลางต่อเนื่องกับลุ่มแม่น้ำกก

ตอนที่ชาวเชียงแสนกลุ่มนี้ ย้ายไปอยู่ในดินแดนล้านช้างใหม่ๆ ชาวลาวล้านช้างเรียกคนกลุ่มนี้ว่าชาวลาวโยนก และเปลี่ยนมาเรียก“ลาวยวน”ในภายหลัง

ทุกวันนี้ มีชาวยวนกระจายอยู่ในหลายพื้นที่ของ สปป.ลาว โดยเฉพาะในแขวงไชยะบูลี และหลวงน้ำทา

โดยเฉพาะเมืองหลวงน้ำทา กับเมืองเงิน แขวงไชยะบูลีนั้น ตามประวัติที่ชาวยวนเมืองหลวงน้ำทาค้นคว้ามา พบว่าผู้ที่สร้างเมืองทั้งสอง คือชาวยวนจากเชียงแสนนั่นเอง

ทะเลสาบเชียงแสน เชื่อว่าเป็นที่ตั้งเมืองโยนกนาคพันธุ์ แต่พังทลายลงด้วยเหตุจากแผ่นดินไหว เมื่อพันกว่าปีก่อน

เมืองเชียงแสนปัจจุบัน เป็นศูนย์กลางการค้าผ่านแม่น้ำโขงระหว่างจีนกับประเทศไทย

ประวัติระบุว่า ใน พ.ศ.2130 ชาวเชียงแสน 27 ครอบครัว นำโดยแสนหาญสุรินทร์ ได้อพยพจากเชียงแสน มาบุกเบิกตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณที่เป็นเมืองหลวงน้ำทาปัจจุบัน และตั้งชื่อเมืองที่ไปตั้งรกรากใหม่ว่าเมืองหลวงหัวทา

ประวัติไม่ได้ระบุเหตุผลการอพยพ แต่หากพิจารณาจากสถานการณ์ในขณะนั้น พ.ศ.2130 เป็นช่วงที่อยุธยาทำสงครามกับพม่าหลายครั้ง หลังจากสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้ประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง เมื่อ พ.ศ.2127

เชียงแสนถือเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางยุทธศาสต์ของพม่า

เพราะหลังจากพระเจ้าบุเรงนองได้เชียงใหม่เป็นเมืองขึ้นใน พ.ศ.2101 ได้สั่งหัวเมืองต่างๆที่อยู่ในลุ่มแม่น้ำโขงตอนกลาง อาทิ เมืองยอง เชียงแขง เชียงลาบ บ้านยู้ รวมถึงเมืองอูในล้านช้างตอนบน ให้ขึ้นกับเมืองเชียงแสน

สมเด็จพระนเรศวรฯ ส่งทัพมายึดเชียงแสนได้ใน พ.ศ.2136

จากนั้น เป็นเวลากว่า 200 ปี เชียงแสนต้องตกเป็นเมืองขึ้นระหว่างพม่ากับอยุธยาสลับกันไป-มาตลอด จนถึง พ.ศ.2347 สมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทัพสยามจึงสามารถขับไล่พม่าให้พ้นไปจากเชียงแสนได้โดยเด็ดขาด

หลังจากชาวเชียงแสน 27 ครอบครัว อพยพมาสร้างเมืองหลวงหัวทาได้เกือบ 40 ปี ใน พ.ศ.2169 เจ้าศรีสุทโทธนะธรรมิกราช เจ้าผู้ครองเมืองเชียงแสน ได้นำไพร่พลจากเชียงแสนมายังเมืองหลวงหัวทา และได้ขึ้นเป็นเจ้าเมือง

พ.ศ.2170 เจ้าศรีสุทโทธนะฯเดินทางไปเมืองเชียงรุ่ง สิบสองปันนา เพื่อสร้างสัมพันธไมตรี เจ้าฟ้าเชียงรุ่งได้ยกธิดานามว่าเจ้านางเขมมาให้เป็นชายา

เจ้าศรีสุทโทธนะฯพำนักอยู่ที่เมืองเชียงรุ่งระยะหนึ่ง และมีโอรสกับเจ้านางเขมมา 1 คน ชื่อว่าเจ้าหม่อมหลวง

พ.ศ.2171 เจ้าศรีสุทโทธนะฯนำพุทธศาสนิกชนในเมืองหลวงหัวทาร่วมกันสร้างพระธาตุขึ้น 2 องค์ คือพระธาตุปุมปุกกับพระธาตุภูปราสาท เพื่อให้เป็นศูนย์รวมจิตใจและความสามัคคีของชาวเมือง

ปัจจุบัน พระธาตุภูปราสาทได้ผุพังไปแล้ว

ส่วนพระธาตุปุมปุกนั้น เคยพังทลายลงครั้งหนึ่งจนเหลือเพียงเศษอิฐ และมีต้นไม้ปกคลุมเต็มไปหมด ชาวเมืองได้ร่วมกันสร้างพระธาตุปุมปุกองค์ใหม่ครอบพระธาตุองค์เดิม แต่พระธาตุปุมปุกองค์ที่ 2 ก็มีอันต้องพังทลายลงอีก เพราะถูกระเบิดของสหรัฐอเมริกาที่ทิ้งลงมาแบบปูพรมในเมืองหลวงน้ำทา ในช่วงสงครามเวียดนาม

ใน พ.ศ.2545 ชาวเมืองหลวงน้ำทาได้ร่วมแรงศรัทธาสร้างพระธาตุปุมปุกองค์ที่ 3 ขึ้นเคียงข้างซากส่วนที่เหลืออยู่ของพระธาตุองค์เดิม เพื่อให้คนที่ขึ้นไปกราบไหว้ ได้เห็นเป็นอุทธาหรณ์ของพิษภัยจากสงคราม

พระธาตุปุมปุกองค์ปัจจุบัน(ซ้าย) กับซากพระธาตุองค์เดิม(ขวา)
เจ้าศรีสุทโธธนะฯปกครองเมืองหลวงหัวทาตั้งแต่ พ.ศ.2169 จนถึง พ.ศ.2180 ก็ถึงแก่อสัญกรรม

นอกจากเจ้าหม่อมหลวง ซึ่งเป็นโอรสที่เกิดกับเจ้านางเขมมาบุตรสาวเจ้าฟ้าเมืองเชียงรุ่งแล้ว เจ้าศรีสุทโทธนะฯ ยังมีโอรสและธิดา อีก 7 คน คือ เจ้าช้างเผือก เจ้าฮักเมือง เจ้าคำภู เจ้าคำฟอง เจ้าคำหล้า เจ้านางขันคำ และเจ้านางสุธรรมา

เมื่อสิ้นเจ้าศรีสุทโทธนะฯ เสนาอำมาตย์ ราษฎร ได้ยกให้เจ้าช้างเผือกขึ้นเป็นเจ้าครองเมืองหลวงหัวทา จากนั้นน้องๆของเจ้าช้างเผือก ได้ขึ้นปกครองเมืองหลวงหัวทาต่อเนื่องมาเป็นลำดับ

จนถึง พ.ศ.2245 เมื่อโอรสทั้ง 5 สิ้นชีวิตลงหมดแล้ว เจ้านางขันคำและเจ้านางสุธรรมา ได้ร่วมกันปกครองเมืองหลวงหัวทาต่อจนถึง พ.ศ.2257

ใน พ.ศ.2257 เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเมืองหลวงหัวทา บ้านเรือนของราษฎรทั้งเมืองได้จมอยู่ใต้น้ำ

เจ้านางทั้งสองได้สั่งให้ราษฎรเก็บข้าวของ และให้คนแก่และเด็กไปอยู่ในที่ปลอดภัย

ระหว่างที่เจ้านางทั้งสอง พาเสนาอำมาตย์จำนวนหนึ่งเสด็จออกจากวังสามหมื่นด้วยเรือพระที่นั่ง เพื่อตรวจเยี่ยมราษฎรท่ามกลางกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก ลมแรง เรือพระที่นั่งได้จมลง เจ้านางทั้งสองเสียชีวิต

เสนาอำมาตย์ ราษฎรได้นำพระศพของเจ้านางขันคำและเจ้านางสุธรรมา มาทำพิธีส่งสการอย่างสมเกียรติ และเพื่อให้เป็นเกียรติแก่เจ้านางทั้งสอง ชาวเมืองได้อัญเชิญดวงวิญญานของเจ้านางทั้งสอง ขึ้นเป็นมเหศักดิ์หลักเมืองหลวงหัวทาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ภาพวาดเจ้านางขันคำกับเจ้านางสุธรรมา
การถึงแก่อสัญกรรมอย่างกระทันหันของเจ้านางขันคำและเจ้านางสุธรรมา ทำให้มืองหลวงหัวทาขาดผู้นำ ไม่มีที่พึ่งทางจิตใจ

เสนาอำมาตย์จึงได้เดินทางไปอัญเชิญเจ้าหม่อมหลวง โอรสของเจ้าศรีสุทโทธนะฯกับเจ้านางเขมมา จากเมืองเชียงรุ่ง สิบสองปันนา มาปกครองเมืองหลวงหัวทา

พ.ศ.2276 เจ้าหม่อมน้อย หลานของเจ้าหม่อมหลวง ได้นำกำลังจากเชียงรุ่ง มาหวังรบชิงเมืองหลวงหัวทาจากผู้เป็นอา

กำลังของเจ้าหม่อมหลวงมีน้อย ประกอบกับชราภาพแล้ว จึงปรึกษากันกับเสนาอำมาตย์ ราษฎร โดยเห็นว่าเพื่อไม่ให้เดือดร้อน และรักษากำลังไว้ จึงให้ทุกคนอพยพจากเมืองหลวงหัวทาลงมาพึ่งเมืองน่าน

ราษฎรจากเมืองหลวงหัวทาได้พำนักอยู่ที่เมืองน่านเป็นเวลา 3 ปี ใน พ.ศ.2279 เจ้าผู้ครองนครน่าน ได้อนุญาตให้ราษฎรเหล่านี้ย้ายออกไปสร้างเมืองใหม่ทางทิศตะวันออก ชื่อว่าเมืองเงินกุฏสาวดี(เมืองเงิน แขวงไชยะบูลี ปัจจุบัน) โดยให้ขึ้นกับเมืองน่าน

ส่วนดินแดนเมืองหลวงหัวทา ซึ่งเคยเป็นแหล่งทำมาหากินอันอุดมสมบูรณ์ของชาวลาวยวนนั้น กลายเป็นเมืองร้าง ต้นไม้ขึ้นรกเป็นป่าทึบ มีชนเผ่าอื่นย้ายจากเมืองเชียงตุง และเชียงรุ่ง เข้ามาอาศัย เช่นชนเผ่าเย้า แลนแตน อีก้อ สีดา


การปกครองเมืองเงินกุฏสาวดี ตั้งแต่ พ.ศ.2279 ถึง พ.ศ.2426 มีเจ้าเมือง 8 คน คือ เจ้าหม่อมหลวง เจ้าหม่อมกอง เจ้าหม่อมอาชญามหาวงศ์ เจ้าหม่อมอาชญามหานาม เจ้าหม่อมอาชญาน้อย เจ้าหม่อมเทพ เจ้าหม่อมเตช เจ้าหม่อมลานชา

ชาวยวนเมืองหลวงน้ำทาในปัจจุบัน
พ.ศ.2427 เจ้าสายพรหมินทร์ขึ้นเป็นเจ้าเมืองเงินกุฏสาวดี แต่ระหว่างที่เดินทางไปยังเมืองน่าน เพื่อขอรับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากเจ้าผู้ครองนครน่าน เจ้าสายพรหมินทร์ได้ถึงแก่อสัญกรรมแบบกระทันหัน

บรรดาเสนาอำมาตย์ และราษฎรเมืองเงินกุฏสาวดีได้พากันไปเรียนเชิญเจ้าหม่อมสิทธิสาร จากเมืองน่าน ให้มาปกครองเมืองเงินกุฏสาวดีจนถึง พ.ศ.2434

เจ้าหม่อมสิทธิสาร ก็คือเจ้าอุปราชสิทธิสาร ณ น่าน ซึ่งเป็นโอรสของเจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้าผู้ครองนครน่านองค์ที่ 12 กับแม่เจ้าจันทา และยังเป็นพระอนุชาร่วมมารดาของเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช เจ้าผู้ครองนครน่านองค์ที่ 13 หรือองค์ก่อนสุดท้าย

พ.ศ.2434 เป็นช่วงที่ฝรั่งเศสกำลังรุกเข้ามาหวังยึดดินแดนล้านช้างเป็นอาณานิคม ดังนั้นเพื่อจัดระเบียบหัวเมืองทางฝั่งตะวันออก เจ้าผู้ครองนครน่านจึงได้ให้เจ้าอุปราชสิทธิสาร นำไพร่พลจากเมืองเงินกุฏสาวดีที่สมัครใจ เดินทางขึ้นไปสร้างเมืองหลวงหัวทาขึ้นใหม่

มีไพร่พลร่วมเดินทางมากับเจ้าอุปราชสิทธิสารจำนวน 566 คน ระหว่างเดินทางจากเมืองน่านมายังเมืองหลวงหัวทา เมื่อผ่านเมืองเชียงของ เจ้าอุปราชสิทธิสารก็ได้ชักชวนชาวลื้อที่อาศัยอยู่ในเชียงของกลุ่มหนึ่ง ให้ร่วมเดินทางมาด้วย

คณะของเจ้าอุปราชสิทธิสาร เดินทางมาถึงเมืองหลวงหัวทาใน พ.ศ.2435 และช่วยกันแผ้วถางเมืองหลวงหัวทาซึ่งร้างไปถึง 158 ปี เพื่อสร้างเมืองขึ้นมาใหม่

แต่ในปีถัดไป คือ พ.ศ.2436 ได้เกิดเหตุการณ์ รศ.112 ในกรุงสยาม ผลของเหตุการณ์นี้ ทำให้สยามต้องเสียดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงให้กับฝรั่งเศส ซึ่งรวมถึงเมืองหลวงหัวทาด้วย

ส่วนเมืองเงินกุฏสาวดีนั้น ได้ตกเป็นของฝรั่งเศสในอีก 10 ปีต่อมา


สมัยก่อนที่ยังไม่มีการละเล่น หรือสันทนาการมากเหมือน
ในปัจจุบัน เมื่อหนุ่มชาวลาวยวน ต้องการไปเกี้ยวพาราสี
สาว มักไปในเวลาที่สาวเจ้ากำลังทอผ้า โดยฝ่ายชายมีปี่
เป็นเครื่องมือ นั่งเป่าปีดูสาวทอผ้า เพื่อเรียกความเห็นอกเห็นใจ


ฟ้อนลาวยวน


ดนตรีพื้นบ้านลาวยวน

จนถึงทุกวันนี้ ชาวลาวยวนทั้งในเมืองหลวงน้ำทาและเมืองเงิน ยังมีการติดต่อไปมาหาสู่กันตลอด เพราะถือว่าเป็นญาติพี่น้อง ที่มาจากบรรพบุรุษเดียวกัน

ปี 2009(พ.ศ.2552) ชาวลาวยวนในเมืองหลวงน้ำทา ได้จัดงานเพื่อแสดงอัตลักษณ์ความเป็น“ยวน”ของตนขึ้นมาเป็นครั้งแรก โดยมีชาวยวนในเมืองเงินมาร่วมงานด้วย

เมื่อต้นปีนี้ ระหว่างวันที่ 25-27 มกราคม พ.ศ.2557 ชาวลาวยวนในเมืองหลวงน้ำทาก็ได้จัดงานเพื่อแสดงอัตลักษณ์ของตนเองขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ใช้ชื่อว่า”งานบุญวัฒนธรรมเผ่าลาวยวน” มีผู้เดินทางมาร่วมงานด้วยเป็นจำนวนมาก

งานบุญวัฒนธรรมชนเผ่าลาวยวน
ขบวนแห่ของชาวลาวยวน ในงานบุญวัฒนธรรม

คณะผู้จัดงานได้ตกลงร่วมกันว่า ต่อจากนี้ ชาวลาวยวนจะจัดงานเพื่อแสดงอัตลักษณ์ของตนขึ้นทุก 5 ปี

เรื่องของชาว”ลาวยวน”นับจากนี้ จึงน่าจะเป็นที่รับรู้กันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในประเทศไทย

เพราะแท้จริงแล้ว”ลาวยวน”ก็คือคนที่มีบรรพบุรุษเดียวกันกับชาว”ไทยวน” เพียงแต่การโยกย้ายถิ่นฐานเกิดขึ้นคนละช่วงเวลาเท่านั้น

ในประเทศไทย คนไทยวนเคลื่อนย้ายจากเชียงแสน กระจายไปอยู่ตามเมืองต่างๆ หลังจากถูกเทครัวลงมาในสมัยรัชกาลที่ 1

ทำไมต้องเทครัวชาวยวนเหล่านี้ ?

เหตุผลเพราะว่า หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ต้องการกู้อิสรภาพ ได้ทรงยกทัพขึ้นไปรบเพื่อขับไล่พม่าออกจากเชียงใหม่ ซึ่งถือเป็นฐานกำลังหลักของพม่าสำหรับยกลงมาตีกรุงศรีอยุธยา

ข้าวของเครื่องใช้ที่แสดงถึงวิถีชีวิตชาวลาวยวน
ในสงครามขับไล่พม่าออกจากเชียงใหม่ครั้งแรก ใน พ.ศ.2317 ทัพของพระเจ้าตากสิน ร่วมกับทัพของพระเจ้ากาวิละจากลำปาง สามารถไล่พม่าออกจากเชียงใหม่ได้

ทัพพม่าที่หนีจากเชียงใหม่ ได้ไปซ่องสุมผู้คนอยู่ที่เชียงแสน และใช้เชียงแสนเป็นแหล่งสะสมเสบียงและกำลังพล

จนเมื่อพระเจ้าตากสินได้ทรงประกาศอิสรภาพ และสร้างกรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่แล้ว ทัพพม่าก็ยังคงยึดครองเมืองเชียงแสนเพื่อใช้เป็นแหล่งซ่องสุมผู้คนและเสบียงอยู่

เชียงแสนจึงเป็นเสมือนหอกข้างแคร่ของสยาม

เมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ 1 เพื่อต้องการขับไล่พม่าออกไปจากดินแดนสยามโดยเด็ดขาด จึงได้โปรดเกล้าให้กรมหลวงเทพหริรักษ์ และพระยายมราช ยกกองทัพจากกรุงเทพฯ ไปร่วมกับทัพจากหัวเมืองอีก 4 แห่ง คือ น่าน ลำปาง เชียงใหม่ เวียงจัน ทำสงครามขับไล่พม่าออกจากเชียงแสน เมื่อ พ.ศ.2347

การแสดงงานงานบุญวัฒนธรรมชนเผ่าลาวยวน
และเพื่อไม่ให้ทัพพม่าสามารถย้อนกลับมาใช้เชียงแสนเป็นแหล่งซ่องสุมผู้คนได้อีก ทั้ง 5 ทัพ จึงได้ทำลายกำแพงเมือง และเผาเมืองทิ้ง

จากนั้น จึงได้อพยพครัวชาวเชียงแสน ที่มีอยู่จำนวน 2 หมื่นกว่าคน แบ่งเป็น 5 กลุ่ม ตามกองทัพทั้ง 5 แล้วพากันแยกย้ายเดินทางไปอยู่ยังกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ลำปาง น่าน และเวียงจัน

ครัวยวนที่มาพร้อมกับทัพหลวง เมื่อมาถึงกรุงเทพฯ รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าให้ไปตั้งถิ่นฐานที่เมืองราชบุรี ริมฝั่งแม่น้ำแม่กลอง ห่างจากตัวเมืองไปทิศตะวันออก ประมาณ 2 กิโลเมตร ซึ่งปัจจุบันเรียกว่าบ้านร่นที

แต่ระหว่างเดินทางลงมากรุงเทพฯ เมื่อผ่านเมืองสระบุรี มีส่วนหนึ่งของครัวยวนกลุ่มนี้ ได้ขอแยกตัวเพื่อตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำป่าสัก ซึ่งปัจจุบันคือ อ.เสาไห้ จ.สระบุรี

ต่อมาครัวเมื่อยวนที่เสาไห้มีประชากรเพิ่มขึ้น ก็ขยายออกไปตั้งถิ่นฐานใหม่ที่สีคิ้ว

ส่วนครัวยวนที่ไปอยู่ในเวียงจัน หลังจากเสร็จศึกเจ้าอนุวง ในสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 มีการกวาดต้อนชาวเวียงจันเป็นเชลย ในจำนวนนี้ มีครัวยวนที่ถูกเทไปในสมัยรัชกาลที่ 1 รวมอยู่ด้วย เมื่อครัวยวนกลุ่มนี้เดินทางลงมาถึงสีคิ้ว ได้ขอแยกออกมาร่วมอาศัยอยู่กับคนยวนสีคิ้วด้วย


การประกาศอิสรภาพหลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาทั้ง 2 ครั้ง เป็นมูลเหตุสำคัญ ที่ทำให้คน”ยวน”จากเชียงแสน ต้องกระจายตัวไปอยู่ตามที่ต่างๆของดินแดนสุวรรณภูมิ...


1 ความคิดเห็น:

  1. อนิจัง ทุกขัง อนัตตา (ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตน) อดีต ปล่อยวาง อยู่กับปัจจุบันเพราะไม่รู้จักพอแท้แท้

    ตอบลบ