วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2556

จุลกฐิน...ตัวตน คนลื้อ


“ออกพรรษาแล้ว ช่วงนี้ต้องช่วยกัน หมั่นไปดูแลต้นฝ้ายที่วัดให้ดี เพราะใกล้ถึงงานจุลกฐินแล้ว”



พรนึกถึงคำพูดของพ่อ ที่มักพร่ำบอกกับลูกๆทุกคน ในทุกๆปี เมื่อถึงช่วงเทศกาลออกพรรษา

ครอบครัวของพรอาศัยอยู่ในชุมชนชาวลื้อ ในอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย สิ่งที่เขาเห็นเป็นประจำมาตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อผ่านพ้นวันออกพรรษา ความคึกคักจะเริ่มคืบคลานเข้ามาสู่ชุมชนของเขา

ผู้อาวุโสของหมู่บ้าน จะเกณฑ์คนให้ไปบำรุงรักษาต้นฝ้ายที่ปลูกไว้ เพราะเป็นขั้นตอนสำคัญ ของการเริ่มต้นประเพณีจุลกฐิน

บ้านของพรอยู่ใกล้วัด พ่อจึงอาสาเป็นหลักในการดูแลแปลงต้นฝ้าย

พรมักเป็นลูกมือของพ่อในภารกิจนี้ จนเมื่อไม่กี่ปีมานี้ เมื่อพ่ออายุมากขึ้นแล้ว เขาจึงอาสารับภารกิจนี้แทน...

ในชุมชนชาวลื้อ เมื่อถึงประเพณีจุลกฐิน ทุกคนจะพร้อมใจกันแต่งชุดลื้อเพื่อมาร่วมงานบุญ
(ภาพประกอบเรื่องราวนี้ บันทึกจากงานจุลกฐิน ที่วัดท่าข้ามศรีดอนชัย อ.เชียงของ จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 23-24 พฤศจิกายน พ.ศ.2555)
“จุลกฐิน”ตามภาษาลื้อ หมายถึง”ผ้าทันใจ”

เป็นกฐินประเภทหนึ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสมัครสมานสามัคคีของคนชุมชน ที่ต้องร่วมมือร่วมใจกันเร่ง“ผลิต”ผ้ากฐินให้เสร็จภายในคืนเดียว เพื่อให้ทันถวายพระตอนรุ่งเช้า

คำว่า“ผลิต”ในที่นี้ หมายรวมหมดทั้งกระบวนการ

ตั้งแต่การเก็บปุยฝ้ายจากต้นฝ้ายที่ได้ปลูกเตรียมไว้ นำปุยฝ้ายที่เก็บได้ ไปหีบเพื่อเอาเมล็ดออก ตีปุยฝ้ายให้ฟูและดึงเป็นเส้นเพื่อปั่นให้เป็นด้าย นำด้ายไปกรอใส่หลอด และนำเส้นฝ้ายจากหลอดไปทอเป็นผ้า

เมื่อทอจนได้เป็นผ้าผืนออกมาแล้ว นำมาย้อมสีและตัดเย็บให้เข้ารูปเป็นผ้ากฐิน เสร็จแล้วจึงพับใส่พาน เตรียมไว้ให้พร้อมสำหรับพิธีถวายผ้ากฐินในตอนเช้า

หีบฝ้าย
จุลกฐินเป็นงานประเพณีที่พบได้เฉพาะในประเทศไทยและลาว โดยในไทย มักทำกันเฉพาะชุมชนทางภาคเหนือและอีสาน คนอีสานเรียกกฐินชนิดนี้ว่า"กฐินแล่น"

สำหรับชาวลื้อแล้ว จุลกฐินถือเป็นประเพณีที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง  เพราะวัฒนธรรมของลื้อนั้น มี 2 สิ่งที่โดดเด่น แสดงถึงตัวตนของความเป็นคนลื้อ นั่นคือการนับถือพุทธศาสนา และการทอผ้า…

ปั่นฝ้าย
“...จะเห็นได้ว่า พระพุทธศาสนาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของชาวไทลื้ออย่างมั่นคง ชาวไทลื้อทุกชนชั้นมีหน้าที่สำคัญในการสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา ทั้งการเผยแผ่ศาสนธรรม สร้างศาสนวัตถุ-ศาสนสถาน บวชศาสนทายาท และสืบสานศาสนพิธี ประเพณี วัฒนธรรมต่างๆ ชาวไทลื้อให้ความสำคัญต่อการทำบุญให้ทานในโอกาสต่างๆอยู่เสมอ ดังคำโบราณไทลื้อที่กล่าวถึงวิถีการทำบุญว่า“เข้าวันซ้า ผ้าปีผืน ธรรมปีผูก” คือให้หมั่นทำบุญด้วยการนำภัตตาหารไปถวายพระสงฆ์วันละ 1 ตระกร้า ถวายผ้าจีวรปีละ 1 ผืน ถวายคัมภีร์ธรรม ซึ่งอาจจารเอง หรือจ้างวานผู้อื่นจารให้ปีละ 1 ผูก เพื่อเป็นการสั่งสมบุญบารมีให้ตนเอง...”

เนื้อหาส่วนหนึ่งของบทความเรื่อง“พระพุทธศาสนาในเมืองสิบสองพันนา” เขียนโดยพระนคร ปรังฤทธิ์ ซึ่งได้ตีพิมพ์อยู่ในหนังสือ”วิถีไทลื้อ เมืองสิบสองพันนา” จัดพิมพ์โดยโครงการศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาประเทศเพื่อนบ้าน สำนักวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่

ในหนังสือเล่มเดียวกัน ยังมีบทความเรื่อง“เยี่ยมถิ่นไทลื้อ ที่สิบสองพันนา” เขียนโดยอาจารย์ยุพิน เข็มมุกด์ ข้าราชการบำนาญ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ซึ่งบอกว่า...

“...แม่ญิงไทลื้อได้ชื่อว่ามีความเชี่ยวชาญด้านการทอผ้าเป็นเลิศ เป็นภูมิปัญญาที่ถ่ายทอดกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า แม้จะมีเหตุการณ์เปลี่ยนผ่านทางการเมืองมาหลายครั้ง แม่ญิงไทลื้อไปอยู่ที่ไหน ก็จะไม่ละทิ้งเรื่องการทอผ้า เมื่อเข้าไปในวิหารวัดไทลื้อ สิ่งหนึ่งที่น่ามหัศจรรย์มาก คือลวดลายที่วิจิตรงดงาม บอกเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาลงบนผืนผ้า ที่เรียกว่า”ตุง” รวมถึงสิ่งทอที่ถวายเป็นพุทธบูชา แม่ญิงไทลื้อมีความสามารถในการนำเอาภูมิปัญญากับวัฒนธรรมการทอผ้า เรื่องราวทางพุทธศาสนา วรรณกรรม จารีต ประเพณี มาไว้บนผื้นผ้าได้อย่างลงตัวสวยงาม นี่คือผลงานที่บรรพชนไทลื้อได้สร้างสรรค์ขึ้นจนกลายเป็น อัตลักษณ์ที่โดดเด่น...”

ร่วมมือร่วมแรงกันผูกปมฝ้าย

เริ่มทอผ้า
ตั้งแต่จำความได้ ชุมชนที่พรอาศัยอยู่ มีงานจุลกฐินทุกปี ตอนเด็กๆ พรเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ใหญ่ต้องมาอดหลับอดนอน นั่งหลังขดหลังแข็งทอผ้าย้อมผ้ากันทั้งคืน เมื่อถามพ่อ ก็ได้คำตอบเพียงสั้นๆว่า”เพราะได้บุญมากกว่าการทอดกฐินทั่วไป”

แรกๆเลย งานจุลกฐินทำกันเงียบๆภายในชุมชน ไม่เป็นงานใหญ่โตเอิกเกริก ชาวลื้อในชุมชนทุกคน ต่างรับรู้กันว่าเมื่อผ่านพ้นวันออกพรรษาไปแล้ว แต่ละคนจะมีบทบาท หรือหน้าที่อะไรบ้าง ทุกคนจะเตรียมตัวทำหน้าที่ของตนให้พร้อมก่อนจะถึงวันซึ่งกำหนดให้เป็นวันจุลกฐิน

เมื่อถึงคืนก่อนวันถวายผ้ากฐิน แต่ละบ้านก็จะเปลี่ยนเครื่องแต่งกายจากชุดปกติที่สวมใส่ประจำวัน มาสวมใส่ชุดของชาวลื้อ และมาชุมนุมร่วมมือร่วมแรงกันทอผ้าย้อมผ้าอยู่ภายในวัด เพื่อเตรียมผ้ากฐินให้พร้อมในเช้าวันรุ่งขึ้น

สำหรับเด็กๆอย่างพร ภาพความทรงจำของเขาคือความสนุกสนาน ยามเมื่อได้ติดตามพ่อแม่ที่ไปช่วยงานที่วัดในคืนก่อนวันทอดกฐิน เพราะเขามีโอกาสได้วิ่งเล่นซุกซนกับเพื่อนๆในยามค่ำคืน เพราะหากเป็นวันปกติ เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ เขาก็ต้องเตรียมตัวเข้านอนแล้ว

วิธีผ่อนคลาย ในค่ำคืนก่อนวันถวายผ้ากฐิน
ในขั้นตอนท้ายๆ ของการเตรียมผ้านกฐิน(ภาพนี้ บันทึกในเวลา 05.00 น. ของวันที 24 พฤศจิกายน 2555)
ต่อมาเมื่อมีคนจากท้องถิ่นอื่นรู้ข่าวเกี่ยวกับประเพณีจุลกฐิน เริ่มมีคนจากภายนอกเดินทางมาร่วมชมงานมากขึ้น บางคนเป็นนักท่องเที่ยว ที่มาเที่ยวดูประเพณีนี้โดยเฉพาะ

จากขั้นตอนภายในงาน ที่มีเพียงกระบวนการตระเตรียมฝ้าย ทอผ้า จึงเริ่มมีกิจกรรมอย่างอื่นเสริมเข้ามามากขึ้น

มีการออกร้าน แสดงศิลปวัฒนธรรมลื้อ เพื่อให้เป็นข้อมูลเกี่ยวกับคนลื้อแก่คนที่มาเที่ยว

เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายชาวลื้อได้ถูกออกแบบตัดเย็บให้พิถีพิถันมากขึ้น โดยเฉพาะชุดของเด็กๆ

สมัยก่อนที่งานจุลกฐินยังไม่เป็นงานใหญ่แบบทุกวันนี้ เด็กๆในชุมชนไม่ได้ถูกเข้มงวดให้ต้องสวมใส่ชุดชาวลื้อกันทุกคน เพราะโดยธรรมชาติแล้ว เด็กๆมักจะซน เวลาตามพ่อแม่ไปที่วัด ก็มักจับกลุ่มเล่นหัวกันจนเนื้อตัวสกปรกมอมแมม

แต่พองานจุลกฐินได้กลายเป็นงานใหญ่ประจำชุมชน มีคนหลั่งไหลมาเที่ยวชมงาน ทั้งจากในตัวจังหวัดเอง และจากจังหวัดอื่นๆ เด็กๆทุกคนเลยถูกจับแต่งตัวแบบชาวลื้อ ซึ่งดูไม่สะดวกนักที่จะวิ่งเล่นหัว ซุกซนกันตามประสาเด็กๆแบบสมัยก่อน

เมื่องานจุลกฐินของชาวลื้อในเชียงของเริ่มเป็นที่รู้จักแพร่หลายมากขึ้น ก็มีบุคคลที่มีชื่อเสียง หรือองค์กรต่างๆ ทั้งจากส่วนกลาง และภายในจังหวัด แสดงเจตจำนงขอร่วมเป็นเจ้าภาพ

ผ้ากฐิน เมื่อผ่านพ้นกระบวนการทอ ตัดเย็บ และย้อม
เตรียมพร้อมสำหรับพิธีถวายผ้าในตอนเช้า
ความเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้นกับงานจุลกฐิน ทำให้พรต้องหวนกลับไปนึกถึงคำบอกเล่าของพ่อ และผู้เฒ่าผู้แก่หลายคนในชุมชนเกี่ยวกับเรื่องตัวตน…ความเป็นคนลื้อ

จากคำบอกเล่าของผู้อาวุโสเหล่านั้น หลายสิบปีก่อน ความเป็นคนลื้อในประเทศไทย เคยเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องปิดบังซ่อนเร้นเอาไว้ โดยเฉพาะในยุคที่ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงของการสร้างรัฐชาติ มีนโยบายชาตินิยม ต่อเนื่องมาจนถึงช่วงการต่อสู้ทางอุดมการณ์กับลัทธิคอมมิวนิสต์

เนื่องจากคนลื้อที่อยู่ในประเทศไทยเคยมีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่ที่สิบสองปันนา ที่ตกเป็นของจีน ทำให้คนในภาครัฐของไทย มักมองคนลื้อด้วยทัศนคติที่คับแคบอย่างหวาดระแวง เพราะเป็นช่วงที่จีนเพิ่งเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์

เจ้าหน้าที่รัฐเกรงว่าชาวลื้อในไทยอาจมีการติดต่อกับเครือญาติที่อยู่ในจีน และรับเอาอุดมการณ์คอมมิวนิสต์มาด้วย

ซึ่งจะเป็นจริงหรือไม่ พรก็ไม่ทราบได้ แต่ที่เขาได้รับคำบอกเล่ามานั้น ชาวลื้อได้เข้ามาอยู่ในไทยเป็นเวลาเกือบ 200 ปี ก่อนที่กระแสความคิดเช่นนี้จะเกิดขึ้นเสียอีก

โอกาสที่คนลื้อในไทย ยุคเมื่อประมาณ 50 ปีก่อน จะได้ติดต่อกับญาติๆในสิบสองปันนา ก็มีไม่มากนัก หรือหากมีก็น้อยมาก เพราะช่วงห่างของรุ่นทำให้ลืมกันไป หรือแทบจะจำกันไม่ได้ไปแล้ว

ที่สำคัญ แม้จะเป็นคนลื้อ แต่เมื่อได้มาอยู่ในประเทศไทยแล้ว คนลื้อทุกคนต่างยอมรับว่าตนเอง ก็คือคนไทย

เมื่อพรนึกถึงเรื่องราวต่างๆเหล่านี้ แม้เขาเกิดมาไม่ทันในช่วงที่คนลื้อต้องหลบซ่อนตัวตนอยู่ในสังคมไทย แต่เขาก็พอเข้าใจความรู้สึกของผู้เฒ่าผู้แก่เหล่านั้น

มาถึงปัจจุบัน เมื่อบริบทต่างๆเหล่านี้ได้สูญสลายไป ความเป็นคนลื้อกลับถูกปลุกขึ้นมาใหม่ ไม่เฉพาะในชุมชนเล็กๆที่พรเกิดและอาศัยอยู่ แต่เป็นเหมือนกันในทุกๆที่

จากแนวโน้มของคนไทยส่วนหนึ่งที่โหยหาอดีต เริ่มหวนกลับไปค้นหา ศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับรากเหง้าของตนเอง ความเป็นคนลื้อ ซึ่งก็คือคนไทเชื้อสายหนึ่ง จึงได้รับสนใจขึ้นมา

หลายปีที่ผ่านมา คนลื้อหลายคนกล้าที่จะแสดงตัวตนออกมาให้คนภายนอกได้เห็น อย่างพากพูมใจในความเป็นลื้อ

ประกอบกับนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาลส่วนกลาง ทางหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่นจึงมีแนวคิดในการชูเอกลักษณ์ของท้องถิ่นขึ้นมา เพื่อให้เป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว ความเป็นคนลื้อ ตลอดจนวัฒนธรรม ประเพณีของคนลื้อ จึงได้รับการสนับสนุน เพราะรายได้จากการท่องเที่ยว สามารถนำเงินเข้ามายังอำเภอ และจังหวัดได้เป็นจำนวนมาก

งานจุลกฐินของชาวลื้อได้ถูกบรรจุไว้เป็น 1 ในปฏิทินท่องเที่ยวของท้องถิ่นด้วยเช่นกัน
.....

พรนั่งมองดูลูกชายวัย 4 ขวบเศษ ที่กำลังลองชุดลื้อชุดใหม่ที่เพิ่งตัดเย็บเสร็จ

ตั้งแต่ลูกคนนี้เกิดมา เขายังไม่เคยพาลูกไปซึมซับรับรู้ถึงบรรยากาศของงานจุลกฐินเลย เพราะเห็นว่ายังเล็กอยู่

แต่ปีนี้ เขาคิดว่าได้เวลาที่ลูกจะต้องเริ่มเรียนรู้วิถีแห่งตัวตนของตนเองได้แล้ว

พรเดินมาตบหัวลูกชายเบาๆ ก่อนจะพูดกับลูกว่า

“ออกพรรษาแล้ว เย็นวันพรุ่งนี้ไปช่วยพ่อดูแลต้นฝ้ายที่วัดหน่อยนะ เพราะใกล้ถึงงานจุลกฐินแล้ว”


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น