“อย่าเดินเลย...สูง เดี๋ยวเรานั่งรถแบตเตอรี่ขึ้นไปดีกว่า”
อาเหวินนรีบบอกกับพวกเรา ขณะกำลังจะก้าวขาเดินขึ้นบันไดสูงนับ
100 ขั้น เพื่อไปกราบองค์พระประธานที่อยู่เกือบถึงยอดเนินเขา ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดหลวงเมืองลื้อ
แห่งเมืองเชียงรุ่ง
“รถแบตเตอรี่?” ผมทวนคำพร้อมกับสีหน้าสงสัย
อาเหวินไม่ตอบ
แต่ชี้มือไปด้านหลัง ”นั่นไง มาแล้ว”
รถที่มาจอดเทียบข้างๆเรา คือรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า
หรือที่บ้านเรามักเรียกกันติดปากว่ารถกอล์ฟ!!!
รถแบตเตอรี่พาเราวนตามถนนรอบเนินเขา ขึ้นไปจนถึงลานซึ่งเป็นที่ตั้งของพระประธาน
วิหาร และโบสถ์ของวัด
เมืองเชียงรุ่ง เมื่อมองจากวัดหลวงเมืองลื้อ |
คำว่า“รถแบตเตอรี่”ของอาเหวิน
วนเวียนอยู่ในหัวของผมตลอดการเที่ยวชมวัดหลวงเมืองลื้อในวันนั้น
“ก็เป็นคำที่น่ารักดี”
ผมคิดในใจ...
ผมไม่รู้จักกับอาเหวินโดยตรง
เธอเป็นเพื่อนของรุ่นน้องของผมคนหนึ่ง ที่ร่วมนั่งรถจากเชียงใหม่ขึ้นไปยังเมืองเชียงรุ่งด้วยกันเมื่อเกือบ
3 ปีก่อน
อาเหวินอาศัยอยู่ในเชียงรุ่ง
เธอจึงรับอาสาเป็นไกด์ชั่วคราวเพื่อพาชมสถานที่ต่างๆในตัวเมือง
อาเหวินอายุประมาณ 35 ปี
เป็นคนลื้อ เกิดและโตในเมืองเชียงรุ่ง แต่เธอเติบโตมาในยุคที่เชียงรุ่งกำลังได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมของชาวฮั่นที่ได้อพยพ
ย้ายถิ่นฐานจากดินแดนทางตอนเหนือเข้ามาอยู่ในเชียงรุ่งเป็นจำนวนมาก
หากดูจากภาพภายนอก แทบไม่มีสิ่งใดที่บ่งบอกถึงความเป็นคนลื้อของอาเหวิน
เธอแต่งตัวเหมือนชาวจีนที่พบเห็นได้ทั่วไปในประเทศจีน ใช้ภาษาแมนดารินในการสนทนาสื่อสารกับคนอื่นๆ
เพียงแต่เมื่อเธอคุยกับพวกเรา เธอจะใช้ภาษาไทย
อาเหวินพูดไทยได้ชัด
และคล่องแคล่วมาก
รุ่นน้องของผมบอกว่า
ที่เขารู้จักกับอาเหวิน เพราะว่าเธอเคยเข้ามาทำงานในเมืองไทยอยู่ระยะหนึ่ง
เรื่องของอาเหวินและความเป็นคนลื้อของเธอ
จุดประกายให้ผมสนใจในเรื่องราว และความเป็นไปของคนลื้อที่อยู่ในเมืองเชียงรุ่ง
แม่น้ำโขงหรือที่คนเชียงรุ่งเรียกว่าลั่นซั่งเจียง ซึ่งไหลผ่านกลางเมืองเชียงรุ่ง |
เชียงรุ่ง เป็นเมืองเอกของเขตปกครองตนเองชนชาติไตสิบสองปันนา อยู่ห่างจากชายแดนไทยจากอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงรายขึ้นไปประมาณ 500 กิโลเมตร
สิบสองปันนาในอดีตเป็นเมืองของคนลื้อ
ประชากรส่วนใหญ่ของสิบสองปันนาคือคนลื้อ
สมัยที่ยังไม่มีการตีเส้นแบ่งเขตเป็นประเทศเหมือนในปัจจุบัน
สถานภาพของสิบสองปันนาขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของรัฐขนาดใหญ่กว่าที่อยู่รายรอบ
ทั้งจีน พม่า สยาม
โดยธรรมเนียมในอดีต
เมื่อรัฐใดที่มีอิทธิพลต่อสิบสองปันนามากที่สุด ก็มักกวาดต้อนผู้คนจากสิบสองปันนาเข้าไปอยู่ในรัฐของตน
เพื่อให้เป็นกำลังทหาร หรือเป็นแรงงานในการปลูกข้าว
ดังนั้น ชุมชนของชาวลื้อที่กระจายตัวอยู่ทั่วไป
ทั้งในประเทศไทย ลาว ตลอดจนรัฐฉานของพม่าในปัจจุบัน ล้วนมีถิ่นฐานดั้งเดิมมาจากสิบสองปันนาทั้งสิ้น
แต่ในที่สุด เมื่อร้อยกว่าปีก่อน
สิบสองปันนาก็ต้องตกเป็นรัฐที่ขึ้นอยู่กับจีน
ช่วงที่จีนกำลังมีการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์
เหมาเจ๋อตุงผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ของจีน ได้ให้ขอพลังสนับสนุนจากบรรดาชนกลุ่มน้อยต่างๆที่อยู่ในประเทศจีน
โดยสัญญาว่า หากพรรคคอมมิวนิสต์ได้รับชัยชนะ สามารถเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองได้ จะให้สิทธิ์ในการปกครองตนเองกับชนกลุ่มน้อยเหล่านี้
หลังจีนเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง
สิบสองปันนาจึงได้ถูกจัดตั้งขึ้นเป็นเขตปกครองตนเองชนชาติไตสิบสองปันนา โดยผู้ที่จะขึ้นมาเป็นผู้ว่าเขตปกครองพิเศษนี้
ต้องเป็นคนในท้องที่ ซึ่งขณะนั้นยังคงมีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวลื้อ
อย่างไรก็ตาม แม้จะได้เป็นเขตปกครองตนเอง
แต่ในช่วงที่จีนได้มีการปฏิวัติวัฒนธรรม ความเป็นตัวตนของคนลื้อที่นี่ ได้ถูกกดทับเอาไว้ จากนโยบายของรัฐบาลกลางที่ต้องการสลายความเป็นตัวตนของประชากรทุกคนภายในประเทศ
เพื่อให้รับกับระบอบคอมมิวนิสต์
เครื่องบ่งชี้
ที่แสดงถึงความเป็นตัวตนของคนลื้อจึงกลายเป็นสิ่งต้องห้าม หลายสิ่ง และสถานที่หลายแห่งถูกทำลาย
ภาวะการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อเนื่องกันนานนับ 10 ปี
จนเมื่อเติ้งเสี่ยวผิงมีนโยบายเปิดประเทศ
โดยเริ่มนำระบบทุนนิยมเข้ามาประยุกต์ใช้ผสมผสานกับรูปแบบการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์
สิบสองปันนาได้ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์พื้นที่หนึ่งตามนโยบายนี้
นโยบายที่รัฐบาลกลางมีต่อสิบสองปันนาจึงถูกเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
การก่อสร้างที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากในเชียงรุ่ง |
สิบสองปันนาได้ถูกกำหนดให้เป็นประตูเพื่อเชื่อมโยงกับประเทศต่างๆที่อยู่ด้านล่าง
ทั้งพม่า ลาว และไทย เพื่อหวังผลในการขยายเส้นทางคมนาคม เปิดทางออกสู่ทะเลให้กับทั้งผู้คนและบรรดาสินค้าประเภทต่างๆของจีน
จีนได้ผลักดันให้มีการสร้างเส้นทาง
2 สาย คือ สาย R3a
จากเมืองบ่อหานของสิบสองปันนา ผ่านเข้าเมืองบ่อเต็น แขวงหลวงน้ำทาของลาว
มาถึงชายแดนลาว-ไทย ที่เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับอำเภอเชียงของ
จังหวัดเชียงราย ระยะทางประมาณ 240 กิโลเมตร
อีกเส้นทางหนึ่ง คือสาย R3b จากเมืองต้าลั่ว
เขาสู่เมืองลา ของพม่า ผ่านเมืองเชียงตุง มาถึงเมืองท่าขี้เหล็ก
ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ระยะทางประมาณ 250 กิโลเมตร
มีการสนับสนุนให้ประชากรจีนที่เป็นชาวฮั่นจำนวนมาก
อพยพโยกย้ายเข้ามาลงหลักปักฐานอยู่ในเมืองเชียงรุ่ง โดยชาวฮั่นเหล่านี้
ได้มากว้านซื้ออสังหาริมทรัพย์ต่างๆในเมืองเชียงรุ่งจากคนลื้อ
ในขณะที่คนลื้อส่วนใหญ่ก็ถูกเบียดให้ต้องออกไปหาที่อยู่อาศัยใหม่บริเวณรอบนอกของตัวเมือง
ส่วนคนลื้อที่ยังคงอยู่
ก็ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากชาวฮั่น ที่ค่อยๆแผ่ขยายเข้ามาจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยนโยบายนี้ ทำให้ในปัจจุบัน เมื่อใครได้เดินทางเข้าไปในเมืองเชียงรุ่ง โอกาสที่จะได้พบกับคนที่พูดภาษาลื้อได้มีน้อยลง ธุรกิจ กิจการ ตลอดจนร้านค้า ร้านรวงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านขายสินค้า
ขายอาหาร ที่อยู่ในเมืองเชียงรุ่งส่วนใหญ่ ล้วนตกอยู่ในการครอบครองของชาวฮั่น
รูปแบบการดำรงชีวิตในเชียงรุ่งทุกวันนี้
จึงไม่แตกต่างจากเมืองใหญ่อื่นๆของจีนโดยทั่วไป
เหตุการณ์หนึ่ง
ซึ่งเป็นประจักษ์พยานได้อย่างดีที่ผมและคณะได้ประสพกับสายตาตนเองจากการเดินทางไปเชียงรุ่งเที่ยวนี้
คือขณะที่ผมและเพื่อนๆกำลังเดินชมเมืองอยู่ริมถนนสายหนึ่ง
มีรถตำรวจคันหนึ่งเปิดเสียงและสัญญานไซเร็นกำลังวิ่งมาบนถนนที่รถค่อนข้างคับคั่ง
เมื่อถึงสี่แยก รถตำรวจดังกล่าวกำลังจะเลี้ยวซ้าย
แต่รถที่มาทางตรงในเลนที่สวนกับรถตำรวจคันนี้ แทนที่จะหยุดหรือชลอรถเพื่อให้ทางกับรถตำรวจคันนี้ได้เลี้ยวก่อน กลับบีบแตรและเร่งความเร็วเพื่อให้ได้แล่นผ่านสี่แยกก่อน จนรถตำรวจต้องเบรดเสียงเอี๊ยดดังลั่น!!!
ครั้งหนึ่ง ผมเคยมีโอกาสได้ไปอยู่ร่วมในพิธีต้อนรับนางเตา
หลินอิน ผู้ว่าการเขตปกครองตนเองชนชาติไตสิบสองปันนา
เมื่อครั้งที่เดินทางโดยรถยนต์จากเมืองเชียงรุ่ง ผ่านลาว และนั่งเรือข้ามแม่น้ำโขงมาเข้าเขตแดนประเทศไทย ที่อำเภอเชียงของ
เมื่อประมาณปลายเดือนสิงหาคม 2552
ทั้งๆที่เชียงของ
ซึ่งเป็นอำเภอที่มีชาวลื้ออาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
แต่พิธีต้อนรับผู้ว่าการเขตปกครองตนเองชนชาติไตสิบสองปันนา
กลับจัดโดยมีกลิ่นอายของความเป็นจีนมากกว่าความเป็นลื้อ...
อย่างไรก็ตาม แรงปะทะทางวัฒนธรรมจากชาวฮั่น ซึ่งระยะหลัง ดูเหมือนได้กลายเป็นประชากรส่วนใหญ่ของเชียงรุ่งไปแล้ว
ได้ก่อให้เกิดความต้องการที่จะแสดงตัวตนของคนชาวลื้อออกมา ประหนึ่งเป็นการตอบโต้
เพื่อให้คนทั่วไปได้รับรู้ว่าเมืองแห่งนี้ เคยเป็นเมืองของคนลื้อ
ซึ่งจะบังเอิญหรือจงใจหรือไม่ก็ตาม
ความต้องการการแสดงตัวตนดังกล่าว ประจวบเหมาะกับนโยบายของรัฐบาลกลางของจีน ที่เริ่มมองเห็นถึงความสำคัญของการท่องเที่ยว
ซึ่งสามารถเป็นแหล่งรายได้หลักจำนวนมากให้กับประเทศ
ด้วยความที่จีนเป็นประเทศใหญ่
รัฐบาลกลางจึงมีนโยบายสนับสนุนให้คนจีนส่วนหนึ่ง เดินทางท่องเที่ยวอยู่ในประเทศ ด้วยการชูเอกลักษณ์ของชนกลุ่มน้อยที่อยู่ตามเมืองต่างๆ
ให้ขึ้นมาเป็นแม่เหล็กดึงดูดให้คนจีนที่อยู่ในที่อื่นๆได้มีโอกาสเดินทางไปเที่ยว
ตัวตนของคนลื้อในเชียงรุ่ง
จึงได้ถูก“ประดิษฐ” และ“สร้าง”ให้กลับคืนมาใหม่ เพื่อให้เป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีนจากพื้นที่อื่นๆ รวมถึงนักท่องเที่ยวจากประเทศต่างๆ ให้เดินทางเข้ามาเที่ยว
มีการสนับสนุนให้คนลื้อแสดงตัวตนของตนเองออกมาผ่านการแต่งกาย
แต่เป็นเครื่องแต่งกายที่ประยุกต์ให้เข้ากับสมัยใหม่มากขึ้น
มิได้เป็นเครื่องแต่งกายแบบลื้อในอดีต แต่ก็พอจะทำให้เห็นถึงความแต่งต่างระหว่างคนลื้อ
กับคนอื่นๆทั่วไปได้ค่อนข้างชัด
นอกจากนี้ ยังมีการสนับสนุนให้กลุ่มทุนขนาดใหญ่ เข้ามาลงทุนสร้างเขตเศรษฐกิจ และเขตที่อยู่อาศัยจำนวนมากในเมืองเชียงรุ่ง โดยเน้นย้ำในการชูเอกลักษณ์ของความเป็น“ลื้อ” ให้เป็นส่วนหนึ่งในโครงสร้างของอาคาร
คนลื้อที่เชียงรุ่ง ในชุดแบบดั้งเดิม |
ชุดลื้อที่ประยุกต์ |
นอกจากนี้ ยังมีการสนับสนุนให้กลุ่มทุนขนาดใหญ่ เข้ามาลงทุนสร้างเขตเศรษฐกิจ และเขตที่อยู่อาศัยจำนวนมากในเมืองเชียงรุ่ง โดยเน้นย้ำในการชูเอกลักษณ์ของความเป็น“ลื้อ” ให้เป็นส่วนหนึ่งในโครงสร้างของอาคาร
รวมถึงชื่ออาคาร
ชื่อของกิจการหรือบริษัทต่างๆ ชื่อถนน ตลอดจนป้ายบ่งบอกทิศทางที่ติดตั้งอยู่ตามจุดต่างๆในเมืองเชียงรุ่ง
ก็ถูกำหนดให้มีตัวอักษรภาษาลื้อกำกับไว้ด้วย นอกเหนือจากตัวอักษรจีน
ชื่ออาคารในเชียงรุ่งซึ่งประกอบไปด้วยภาษาลื้อ ภาษาจีน และภาษาอังกฤษ |
มีการจัดแสดงโชว์พาราณสี ซึ่งถือเป็นการแสดงหลักของเมือง จัดให้มีชุมชนลื้อดั้งเดิมที่เรียกกันว่ากาลันปา ตลอดจนป่านกยูง ซึ่งเป็นสัตว์ประจำเมืองเชียงรุ่ง เพื่อไว้รองรับนักท่องเที่ยว
สิ่งต่างๆที่นำมาแสดง ล้วนเป็นเรื่องราวในอดีตของสิบสองปันนาและเชียงรุ่ง ซึ่งมีความเกี่ยวพันธ์กับพระพุทธศาสนา
วัดหลวงเมืองลื้อที่ผมได้ไปเยี่ยมชม
ซึ่งถูกสร้างให้เป็นวัดประจำเมืองเชียงรุ่ง ตั้งอยู่บนเนินเขา
ที่สามารถมองเห็นได้อย่างเด่นชัดจากในตัวเมือง ก็เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่อยู่ในกระบวนการนี้...
“รถแบตเตอรี่”
ผมทวนคำพูดของอาเหวิน
นโยบายนี้
เป็นเหมือนแบตเตอรี่ที่มาให้พลังงานกับคนลื้อได้มีโอกาศฟื้นความเป็นตัวตนของตนเองให้กลับคืนมาใหม่
แต่ตัวตนของคนลื้อในเชียงรุ่งและสิบสองปันนา
จะดำเนินต่อไปในทิศทางเช่นไร จะเป็นเพียงการแสดงตัวตนออกมาในเชิงกายภาพ ภายใต้บริบททางสังคมที่ความเป็นทุนนิยมได้ก้าวหน้าและมีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆหรือไม่นั้น